Signs and Symptoms
Kids who have sickle cell anemia may feel pain in their chest, stomach, or bones when blood vessels get clogged with sickle cells. The pain can last a few minutes or several days, and it might hurt a lot or just a little. When this happens, it's called a sickle cell crisis (a crisis means a time of trouble).
Nobody knows exactly when sickle cells might get stuck or which blood vessels might get clogged. Certain conditions, like if a person gets too cold, gets sick, or doesn't drink enough fluid, can lead to a sickle cell crisis. Doctors and nurses can help by giving strong medicine to relieve the pain.
Because kids with sickle cell anemia don't have enough normal RBCs, they get tired more easily. They also get infections more often than other kids do. They may not grow as fast as their friends.
Sometimes the whites of their eyes have a yellowish color, known as jaundice (say: jon-dus), and they may have to go to the bathroom a lot. In little kids — usually those under age 2 — sickle cell anemia can cause their hands and feet to swell and hurt. Sometimes they can have more serious illnesses and have to stay in the hospital.
What Causes Sickle Cell Anemia?
Sickle cell anemia is an inherited (say: in-hair-uh-ted) disease. That means you can't catch it like you can catch a cold or the flu. Kids are born with the disease when both parents pass along the sickle cell anemia gene to their children.
Some scientists think sickle cell anemia may be connected to malaria (say: muh-lar-ee-uh), a serious and sometimes deadly disease that's common in Africa. It is believed that people who carry the gene for sickle cell anemia are less likely to catch malaria. So more of these people survived and passed on the sickle cell gene to their children.
More people of African heritage have sickle cell anemia than any other group of people. In the United States, about 1 out of every 500 African Americans has the disease. But some people of Mediterranean or Middle Eastern heritage can have sickle cell genes, too.
For mom baby child new mom pregnancy แม่และเด็ก แม่ลูก คุณแม่มือใหม่ พัฒนาการลูกรัก ดูแลลูก ดูแลเด็ก คุณแม่ตั้งครรภ์ เมนูน่าหม่ำ
Monday, July 18, 2011
Tuesday, April 26, 2011
พึ่งตนพึ่งธรรม - รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ธรรม
พึ่งตนพึ่งธรรม - รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ธรรม
คมชัดลึก :สมัยเด็กๆ พวกเราบางคนคงจำกันได้ สุภาษิตที่ว่า “รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ตี” เป็นภาษิตที่ใช้กันได้ดีในยุคสมัยนั้น ทั้งในสังคมที่บ้าน หรือ ที่โรงเรียนก็ตาม ภาพคุณครูที่ถือไม้เรียวคอยยืนกำราบอยู่หน้าโรงเรียน ยังเป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจ กับเด็กในยุคสมัยนั้น (อย่างเช่นวัยผู้เขียน) มิจางคลาย
อย่างเช่น โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ครูใหญ่จะมีประเพณี “เฆี่ยนโชว์” คือ เรียกเด็กนักเรียนที่ทำผิดรุนแรง มาขึ้นแท่นเฆี่ยนโชว์ที่หน้าเสาธง ตั้งแต่ ๓ ที (ผิดขั้นเบา) ไปจนถึง ๑๒ ที (ผิดขั้นรุนแรง) ท่ามกลางความเงียบของการเฆี่ยนโชว์ทุกครั้ง เสียงไม้เรียวดุ้นหนา ที่ถูกหวดผ่านลม กระทบก้นแน่นๆ ของเด็กนักเรียนที่ยืนกอดอก ไม่เว้นแม้แต่นักเรียนหญิง (ต้องรวบกระโปรงไว้ด้วย เวลาถูกตี) ยังจำติดหูผู้เขียนเสมอมา
ส่วนที่บ้าน พ่อแม่ที่มีระบบการทำโทษอย่างเป็นระบบ ก็จะเหลาไม้เรียวเก็บไว้ที่บ้าน และนำมาใช้ทำโทษ โดยการตีลูกหลาน ให้หลาบจำ เวลาที่ทำความผิด ถือเป็นการลงโทษอย่างเป็นแบบแผน แต่ก็มี พ่อแม่บางครอบครัว ที่มิเคยเตรียมการอะไรไว้ อาศัยเวลาทำโทษ ซึ่งมักจะเป็นเวลาที่พ่อแม่มีอารมณ์โกรธ ก็มักจะหยิบฉวยสิ่งของใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นไม้ขนไก่, ไม้ถูบ้าน เตียงนอนพับ ฯลฯ เอามาฟาด มาตีใส่ลูกในทันทีทันใด ลูกหลานที่เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว หลบเลี่ยงกันเอาเอง
หากกล่าวอย่างสรุป ยุคสมัยแห่งการใช้นโยบาย รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ตีนั้น ผมถือว่าประสบความสำเร็จ คือใช้ได้ผลดีกับสังคมไทย โดยส่วนใหญ่
แต่ครั้นพอถึงยุคถัดมา (ประมาณ ๑๕ ปีย้อนหลังไปนี้เอง) เมื่อประเทศไทย แอ่นอกรับวัฒนธรรมทุนนิยมอย่างเต็มสูบ ผู้คนในสังคมเริ่มพูดจากันเป็นภาษาเงิน มากกว่าภาษาใจ ลูกหลานในยุคสมัยนี้ จึงไม่นิยมเฆี่ยนตีกันแล้ว หนำซ้ำ ไม่นานมานี้เอง หน่วยงานรัฐบาลเองก็ดี กระทรวงศึกษาธิการก็ดี ออกหน้าสนับสนุน ทั้งด้วยการรณรงค์ และด้วยกฎก็ดี เพื่อมิให้ครูบาอาจารย์ ลงโทษเด็กด้วยการเฆี่ยนตี อีกต่อไป วัฒนธรรมการสั่งสอนลูกหลานสมันนี้ เปลี่ยนไปในแนวทาง ตบรางวัลด้วยวัตถุ หรือจูงใจด้วยเงิน แทน (Review and Reward) เด็กไทยหลายคน เริ่มเสียคนกันในยุคนี้ ผมเรียกยุคนี้ว่า ...
“รักวัวให้ผูก-รักลูกให้เงิน”
ใช่แล้วครับ ผู้ใหญ่ที่มีมิจฉาทิฏฐิหลายคน ได้ทำร้ายลูกตัวเองโดยไม่เจตนา ทำลายไปถึงขั้นชีวภาพ โดยเปลี่ยนรหัสพันธุกรรม จากมนุษย์ที่เคยเป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ให้กลายเป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน” ไปเสียฉิบ !
“เงิน” จึงมีความสำคัญมากขึ้น บางทีมากกว่าสายสัมพันธ์พ่อ-แม่-ลูก เสียอีก มันกลายเป็นยุทธปัจจัย ที่คนในยุคสมัยนี้ จะขาดไม่ได้เสียแล้ว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ยังไม่พอ ในกระเป๋าต้องมีเงินด้วย เงินจึงซื้อได้ทุกอย่าง เปลี่ยนอุดมการณ์ของคนในสังคม ทั้งนักการเมือง ประชาชนทั้งรากหญ้า ทั้งปัญญาชน ภาษิตจีนโบราณ ที่ประชดประชันเปรียบเปรย อานุภาพของเงินตรา จึงถูกนำกลับมากล่าวถึงกันมากขึ้น ...
“มีเงิน ... เรียกผี มาโม่แป้ง ยังได้”
สังคมไทยทุกวันนี้ จึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและรุนแรง เพราะต่างก็มีมิจฉาทิฏฐิ ผู้คนเต็มไปด้วยความก้าวร้าว ถือทิฏฐิมานะ ไม่ยอมกันและกัน มองเห็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ของส่วนรวม เรามองเห็นชัด ซึ่งกลิ่นอายแห่งความเห็นแก่ตัวที่รุนแรงขึ้น และ ความประนีประนอมที่อ่อนแรงลง
ดังนั้น ... ครอบครัว เป็นหน่วยสังคมที่เล็กที่สุด แต่กลับเป็นหน่วยที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขหรือเยียวยาสังคมไทย เพราะจุดสำคัญ ที่จะสกัดกั้น ไม่ซ้ำเติมให้สังคมเลวร้ายไปกว่านี้ หากถามผู้เขียนว่า แล้วเราควรจะให้นโยบายอะไรดี ในเมื่อ รักลูกแล้ว จะตีก็ไม่ได้ จะให้เงินก็ไม่ได้? ผู้เขียนก็อยากจุดประกายใหม่ว่า ...
“รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ธรรม”
เพราะ “ธรรม” นั้น มั่นคงถาวรกว่า แก้ปัญหาได้เสร็จสรรพ แก้กันตั้งแต่ “ต้นเหตุ” ของปัญหาเลยทีเดียว พ่อแม่ต้องรู้ธรรม ต้องมีธรรม, พ่อแม่ต้องทำตัวให้เป็นกัลยาณมิตรต่อลูกหลาน สร้างบรรยากาศที่ดี ฉีดภูมิธรรมให้แก่เยาวชน บ่มเพาะกันแต่แรกเกิดเลย เพราะไม้อ่อนดัดง่าย เมื่อบรรยากาศเป็นธรรมแล้ว ถึงเวลาจำเป็น ต้องตีลูกเพื่อตักเตือน ก็สามารถตีได้ด้วยธรรม สอนก่อนแล้วจึงตี ตีก็ตีด้วยความเมตตา หาได้โกรธเกรี้ยว ระบายอารมณ์ไม่, หากต้องการจะตบรางวัลเป็นวัตถุ เงินทอง ก็ต้องให้ด้วยธรรม คือให้แต่พอดี ให้ด้วยเหตุผล (ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสำเร็จแล้วจึงให้) ให้ตามเหมาะสมแก่วัย (ไม่ใช่ซื้อแบล็กเบอร์รี่ให้ลูกสาววัย ๕ ขวบ เพราะกลัวลูกหลงทาง) การให้อย่างนี้ จึงเป็นการทำถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เสร็จสรรพในตัว
รักลูกให้ตี โบราณมี ให้กำราบ
ตีขนาบ ให้รู้ดี-ชั่ว ห่วงลูกหลาน
เมื่อเติบใหญ่ จะได้ดี ในการงาน
ไม่ออกนอก ลู่ทาง ที่สอนไว้
รักลูกให้เงิน ดูผิวเผิน ในสัมพันธ์
ด้วยลัทธิ เงินบันดาล โลกสดใส
สื่อสารเป็น ภาษาเงิน ใช่ด้วยใจ
สุดท้ายโลก ต้องบรรลัย ด้วยใจด้านชา
รักวัวผูก รักลูก ต้องให้ธรรม
ธรรมเท่านั้น เป็นหลัก ทุกศาสนา
ให้ดับทุกข์ สร้างสุข ด้วยธรรมา
แล้วโลกา จะร่มเย็น เป็นนิรันดร์
เพราะฉะนั้น ... ทุกครอบครัว หันมา รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ธรรม กันเถิด เริ่มกันแต่วันนี้ อาจจะ อีก ๑๐ ปีข้างหน้า สังคมไทยจะดีกว่าที่เป็นอยู่ แน่นอน
"พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา"
คมชัดลึก
คมชัดลึก :สมัยเด็กๆ พวกเราบางคนคงจำกันได้ สุภาษิตที่ว่า “รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ตี” เป็นภาษิตที่ใช้กันได้ดีในยุคสมัยนั้น ทั้งในสังคมที่บ้าน หรือ ที่โรงเรียนก็ตาม ภาพคุณครูที่ถือไม้เรียวคอยยืนกำราบอยู่หน้าโรงเรียน ยังเป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจ กับเด็กในยุคสมัยนั้น (อย่างเช่นวัยผู้เขียน) มิจางคลาย
อย่างเช่น โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ครูใหญ่จะมีประเพณี “เฆี่ยนโชว์” คือ เรียกเด็กนักเรียนที่ทำผิดรุนแรง มาขึ้นแท่นเฆี่ยนโชว์ที่หน้าเสาธง ตั้งแต่ ๓ ที (ผิดขั้นเบา) ไปจนถึง ๑๒ ที (ผิดขั้นรุนแรง) ท่ามกลางความเงียบของการเฆี่ยนโชว์ทุกครั้ง เสียงไม้เรียวดุ้นหนา ที่ถูกหวดผ่านลม กระทบก้นแน่นๆ ของเด็กนักเรียนที่ยืนกอดอก ไม่เว้นแม้แต่นักเรียนหญิง (ต้องรวบกระโปรงไว้ด้วย เวลาถูกตี) ยังจำติดหูผู้เขียนเสมอมา
ส่วนที่บ้าน พ่อแม่ที่มีระบบการทำโทษอย่างเป็นระบบ ก็จะเหลาไม้เรียวเก็บไว้ที่บ้าน และนำมาใช้ทำโทษ โดยการตีลูกหลาน ให้หลาบจำ เวลาที่ทำความผิด ถือเป็นการลงโทษอย่างเป็นแบบแผน แต่ก็มี พ่อแม่บางครอบครัว ที่มิเคยเตรียมการอะไรไว้ อาศัยเวลาทำโทษ ซึ่งมักจะเป็นเวลาที่พ่อแม่มีอารมณ์โกรธ ก็มักจะหยิบฉวยสิ่งของใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นไม้ขนไก่, ไม้ถูบ้าน เตียงนอนพับ ฯลฯ เอามาฟาด มาตีใส่ลูกในทันทีทันใด ลูกหลานที่เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว หลบเลี่ยงกันเอาเอง
หากกล่าวอย่างสรุป ยุคสมัยแห่งการใช้นโยบาย รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ตีนั้น ผมถือว่าประสบความสำเร็จ คือใช้ได้ผลดีกับสังคมไทย โดยส่วนใหญ่
แต่ครั้นพอถึงยุคถัดมา (ประมาณ ๑๕ ปีย้อนหลังไปนี้เอง) เมื่อประเทศไทย แอ่นอกรับวัฒนธรรมทุนนิยมอย่างเต็มสูบ ผู้คนในสังคมเริ่มพูดจากันเป็นภาษาเงิน มากกว่าภาษาใจ ลูกหลานในยุคสมัยนี้ จึงไม่นิยมเฆี่ยนตีกันแล้ว หนำซ้ำ ไม่นานมานี้เอง หน่วยงานรัฐบาลเองก็ดี กระทรวงศึกษาธิการก็ดี ออกหน้าสนับสนุน ทั้งด้วยการรณรงค์ และด้วยกฎก็ดี เพื่อมิให้ครูบาอาจารย์ ลงโทษเด็กด้วยการเฆี่ยนตี อีกต่อไป วัฒนธรรมการสั่งสอนลูกหลานสมันนี้ เปลี่ยนไปในแนวทาง ตบรางวัลด้วยวัตถุ หรือจูงใจด้วยเงิน แทน (Review and Reward) เด็กไทยหลายคน เริ่มเสียคนกันในยุคนี้ ผมเรียกยุคนี้ว่า ...
“รักวัวให้ผูก-รักลูกให้เงิน”
ใช่แล้วครับ ผู้ใหญ่ที่มีมิจฉาทิฏฐิหลายคน ได้ทำร้ายลูกตัวเองโดยไม่เจตนา ทำลายไปถึงขั้นชีวภาพ โดยเปลี่ยนรหัสพันธุกรรม จากมนุษย์ที่เคยเป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ให้กลายเป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน” ไปเสียฉิบ !
“เงิน” จึงมีความสำคัญมากขึ้น บางทีมากกว่าสายสัมพันธ์พ่อ-แม่-ลูก เสียอีก มันกลายเป็นยุทธปัจจัย ที่คนในยุคสมัยนี้ จะขาดไม่ได้เสียแล้ว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ยังไม่พอ ในกระเป๋าต้องมีเงินด้วย เงินจึงซื้อได้ทุกอย่าง เปลี่ยนอุดมการณ์ของคนในสังคม ทั้งนักการเมือง ประชาชนทั้งรากหญ้า ทั้งปัญญาชน ภาษิตจีนโบราณ ที่ประชดประชันเปรียบเปรย อานุภาพของเงินตรา จึงถูกนำกลับมากล่าวถึงกันมากขึ้น ...
“มีเงิน ... เรียกผี มาโม่แป้ง ยังได้”
สังคมไทยทุกวันนี้ จึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและรุนแรง เพราะต่างก็มีมิจฉาทิฏฐิ ผู้คนเต็มไปด้วยความก้าวร้าว ถือทิฏฐิมานะ ไม่ยอมกันและกัน มองเห็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ของส่วนรวม เรามองเห็นชัด ซึ่งกลิ่นอายแห่งความเห็นแก่ตัวที่รุนแรงขึ้น และ ความประนีประนอมที่อ่อนแรงลง
ดังนั้น ... ครอบครัว เป็นหน่วยสังคมที่เล็กที่สุด แต่กลับเป็นหน่วยที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขหรือเยียวยาสังคมไทย เพราะจุดสำคัญ ที่จะสกัดกั้น ไม่ซ้ำเติมให้สังคมเลวร้ายไปกว่านี้ หากถามผู้เขียนว่า แล้วเราควรจะให้นโยบายอะไรดี ในเมื่อ รักลูกแล้ว จะตีก็ไม่ได้ จะให้เงินก็ไม่ได้? ผู้เขียนก็อยากจุดประกายใหม่ว่า ...
“รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ธรรม”
เพราะ “ธรรม” นั้น มั่นคงถาวรกว่า แก้ปัญหาได้เสร็จสรรพ แก้กันตั้งแต่ “ต้นเหตุ” ของปัญหาเลยทีเดียว พ่อแม่ต้องรู้ธรรม ต้องมีธรรม, พ่อแม่ต้องทำตัวให้เป็นกัลยาณมิตรต่อลูกหลาน สร้างบรรยากาศที่ดี ฉีดภูมิธรรมให้แก่เยาวชน บ่มเพาะกันแต่แรกเกิดเลย เพราะไม้อ่อนดัดง่าย เมื่อบรรยากาศเป็นธรรมแล้ว ถึงเวลาจำเป็น ต้องตีลูกเพื่อตักเตือน ก็สามารถตีได้ด้วยธรรม สอนก่อนแล้วจึงตี ตีก็ตีด้วยความเมตตา หาได้โกรธเกรี้ยว ระบายอารมณ์ไม่, หากต้องการจะตบรางวัลเป็นวัตถุ เงินทอง ก็ต้องให้ด้วยธรรม คือให้แต่พอดี ให้ด้วยเหตุผล (ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสำเร็จแล้วจึงให้) ให้ตามเหมาะสมแก่วัย (ไม่ใช่ซื้อแบล็กเบอร์รี่ให้ลูกสาววัย ๕ ขวบ เพราะกลัวลูกหลงทาง) การให้อย่างนี้ จึงเป็นการทำถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เสร็จสรรพในตัว
รักลูกให้ตี โบราณมี ให้กำราบ
ตีขนาบ ให้รู้ดี-ชั่ว ห่วงลูกหลาน
เมื่อเติบใหญ่ จะได้ดี ในการงาน
ไม่ออกนอก ลู่ทาง ที่สอนไว้
รักลูกให้เงิน ดูผิวเผิน ในสัมพันธ์
ด้วยลัทธิ เงินบันดาล โลกสดใส
สื่อสารเป็น ภาษาเงิน ใช่ด้วยใจ
สุดท้ายโลก ต้องบรรลัย ด้วยใจด้านชา
รักวัวผูก รักลูก ต้องให้ธรรม
ธรรมเท่านั้น เป็นหลัก ทุกศาสนา
ให้ดับทุกข์ สร้างสุข ด้วยธรรมา
แล้วโลกา จะร่มเย็น เป็นนิรันดร์
เพราะฉะนั้น ... ทุกครอบครัว หันมา รักวัวให้ผูก-รักลูกให้ธรรม กันเถิด เริ่มกันแต่วันนี้ อาจจะ อีก ๑๐ ปีข้างหน้า สังคมไทยจะดีกว่าที่เป็นอยู่ แน่นอน
"พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา"
คมชัดลึก
Friday, March 11, 2011
Sexy4u: ปลุกอารมย์ เพิ่ม ความรู้สึกแปลกใหม่ สำหรับคู่รัก
Sexy4u: ปลุกอารมย์ เพิ่ม ความรู้สึกแปลกใหม่ สำหรับคู่รัก: "การเพิ่ม ความรู้สึกแปลกใหม่ ในแต่ละคืน วัน มีความจำเป็น สำหรับ ทุกๆ คู่รัก ทำให้ คุณ เป็นนางเอก ของ เขาคนนั้น ของคุณ ตลอดไป ได้อย่างไม..."
Angelsecret: เมื่อชีวิตรัก เริ่ม จำเจ ลองสร้างบรรยากาศรัก ใหม่ๆ...
Angelsecret: เมื่อชีวิตรัก เริ่ม จำเจ ลองสร้างบรรยากาศรัก ใหม่ๆ...: "ไม่แปลกหรอก ที่ คู่แต่งงาน จะเบื่อหน่าย กับชีวิต รัก หากแต่ การรู้จัก แต่งกาย ให้เอื้อบรรยากาศ สำหรับความวาบหวาม รัญจวนใจ ชวนให้ อยากมี กิจก..."
Wednesday, March 9, 2011
I love this potty seat! It is EASY to clean
My 2 year old son and I love this potty seat! It is EASY to clean, fits securely on all toilets, even elongated, and my son can put it on and take it off by himself. We use it in conjunction with the Baby Bjorn step stool, which I also love. We have had other potties and this is the best, except for the Baby Bjorn Little Potty. The potty trainer plastic is hard but contoured to fit a small or large person - my 15 month old daughter fits on it, and so do I!! Hard plastic is more sanitary because it won't crack and gather germs like the padded kind. The urine splash guard does the trick with little boys until they learn to aim, but is not cumbersome for females, either. It actually helps provide some stability to the child. It is very nice not having to empty and clean a separate potty for him. The design is clean and nice, which is important to us because my kids' bathroom is also the guest bathroom, decorated to look like a spa in cool blues and white. The white seat doesn't stick out like a sore thumb or look overly cutesy or childish in a nice bathroom. We take the trainer seat on vacation with us and visiting relatives. A word of caution - be sure to use with a sturdy stepstool, because for most kids, getting off and on the adult toilet without assistance is hard without a stool and can be dangerous. However, if your child is scared of sitting up so high, go with the Little Potty.
My daughter is scared of the adult toilet and likes the Little Potty, but my son wants to be "BIG" like us and use the adult one. If you end up needing a floor potty, go with either a one piece design or a design in which the 'collection bowl' can't be removed by the child while sitting on the potty. We had a 'royal' potty -TRASH! My son was scared of the red light that sensed urination or bowel movement, and freaked out when it made noise. The splash guard was bothersome to him, causing him to hurt himself more than once, and he frequently pulled it off in midstream, making a mess. He also pulled the collection bowl out from the front in midstream, and ended up peeing directly on the floor. Love the Baby Bjorn toilet trainer, stepstool combination!
My daughter is scared of the adult toilet and likes the Little Potty, but my son wants to be "BIG" like us and use the adult one. If you end up needing a floor potty, go with either a one piece design or a design in which the 'collection bowl' can't be removed by the child while sitting on the potty. We had a 'royal' potty -TRASH! My son was scared of the red light that sensed urination or bowel movement, and freaked out when it made noise. The splash guard was bothersome to him, causing him to hurt himself more than once, and he frequently pulled it off in midstream, making a mess. He also pulled the collection bowl out from the front in midstream, and ended up peeing directly on the floor. Love the Baby Bjorn toilet trainer, stepstool combination!
Friday, March 4, 2011
อาการเริ่มแรกของการตั้งครรภ์
อาการเริ่มแรกของการตั้งครรภ์
เขียนโดย มนต์ชยา
1 การขาดประจำเดือน
ถ้าคุณเป็นคนที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ อาการปกติที่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์คือ ประจำเดือนไม่มาภายหลังปฏิสนธิได้ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีประจำเดือนมา ไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นสาเหตุอื่นก็ได้ที่ทำให้ประจำเดือนคุณขาดหายไป เช่นมีความ เครียดจากการทำงาน, มีความวิตกกังวลมาก หรือไม่สบาย ก็ไม่แน่ว่าคุณจะตั้งครรภ์ ในบางรายที่ตั้งครรภ์แล้ว อาจมีเลือดออกเล็กน้อยทางช่องคลอดในช่วงเวลาที่ครบรอบเดือน
2 เจ็บ ตึง คัดเต้านม
ขนาดของเต้านมจะเริ่มขยายขึ้น หัวนมเจ็บและไวต่อสิ่งสัมผัส มีเส้นเลือดดำสีเขียวๆ ปรากฏขึ้นที่บริเวณผิวหนังรอบเต้านม หัวนมมีสีคล้ำขึ้นและตั้งชู
3 ปัสสาวะบ่อยขึ้น
ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์มีผลทำให้เลือดมาคั่งในเชิงกรานมาก เพื่อไปหล่อเลี้ยง ตัวอ่อนมากขึ้น ระบบปัสสาวะที่ต่อเนื่องถึงกันจึงได้รับผลกระทบไปด้วย กระเพาะปัสสาวะ จึงระคายเคืองและบีบตัวบ่อยขึ้น ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย รวมทั้งต้องลุกมาเข้าห้องน้ำใน ตอนกลางคืนบ่อยๆ ด้วย
4 ท้องผูกกว่าปกติ
5 มีอาการตกขาวเล็กน้อย
มีมูกขาวๆ ออกมาจากช่องคลอด โดยไม่มีอาการแสบ หรือคันบริเวณช่องคลอดแต่อย่างใด
6 รู้สึกเหนื่อยง่าย อยากหลับตลอดเวลา
นอกจากตอนเย็นหลังเลิกงานแล้วยังเหนื่อยล้าในตอนกลางวันอีกด้วย อาการเช่นนี้ดีสำหรับคุณแม่ เพราะเท่ากับช่วยลดกิจกรรมต่างๆ ลงทั้งที่บ้านและที่ทำงาน จะได้พบปะเจอะเจอผู้คนน้อยลง หรือไม่ค่อยอยากเดินทางไปไหนมาไหน ช่วยให้คุณแม่ได้รับเชื้อโรคและสารพิษจาก สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษน้อยลง
7 รู้สึกขมๆ เฝื่อนๆ มีรสชาติแปลกๆ ในปาก
8 รู้สึกเหม็น ทนไม่ได้กับบางสิ่งบางอย่าง
เช่น ควันบุหรี่, เหล้า, กาแฟ, อาหารที่มีไขมัน, กลิ่นเนื้อสด, ฯลฯ ผลของการตั้งครรภ์ทำให้จมูกคุณแม่ไว และตอบสนองต่อกลิ่นต่างๆ มากขึ้น บางคนได้กลิ่นอาหารที่เคยชอบก็อยากอาเจียน, บางคนแพ้ กลิ่นน้ำหอมที่ตัวเองเคยใช้เป็นประจำ, บางคนไปจ่ายตลาดเดินผ่านร้านขายเนื้อวัวสด, เนื้อหมู ไม่ได้เลย แค่เห็นก็ทนไม่ไหวแล้ว, บางคนแค่เปิดตู้เย็นเจอกลิ่นอาหารในตู้เย็นก็รู้สึกแย่ บางรายก็แพ้กระทั่งกลิ่นของสามีตัวเอง!
9 มีอาการแพ้ท้อง
เป็นอาการที่พบบ่อยมากจนเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่มีอาการคลื่นไส้ อยาก อาเจียนหลังตื่นนอนในตอนเช้า บางรายอาจเป็นในช่วงเย็นๆ บางรายมีอาการต่อเนื่องกัน ตลอดทั้งวัน (แย่หน่อย) โดยเฉพาะตอนที่ท้องว่าง บางทีหิวแต่กินไม่ได้มาก ทำให้เกิด อาการวิงเวียนจะเป็นลม เนื่องจากมีน้ำตาลในเลือดต่ำ
10 กินอาหารไม่อร่อย หรืออยากกินของแปลกๆ
ฮอร์โมนที่เพิ่มระดับขึ้นในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ ทำให้การรับรู้รสชาติของคุณแม่เปลี่ยน แปลงไป ทำให้รู้สึกกินไม่อร่อย ทั้งที่เป็นของที่เคยชอบมาก่อน บางทีอยากกินของแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงอยากกิน
11 มีอารมณ์อ่อนไหวหรือแปรปรวนง่าย
ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง บางครั้งได้ยิน ได้ฟังเรื่องเศร้าๆ ก็ร้องไห้ น้ำตาซึม หรือปล่อยโฮ ดูหนังเศร้าก็ร้องไห้เสียใจ โดยที่เมื่อก่อนไม่ใช่คนแบบนี้ ผู้หญิงบางรายอาจไม่มีอาการดังกล่าวนี้เลย แต่ก็ "ทราบ" ว่าตนเองตั้งครรภ์ ก็เป็นได้เช่นกัน
ตรวจการตั้งครรภ์
เมื่อสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ คุณควรตรวจด้วยตนเองหรือไปรับการตรวจจากแพทย์เพื่อยืนยัน ว่ากำลังตั้งครรภ์ให้ชัดเจน ซึ่งมีวิธีดังนี้
1 โดยการตรวจปัสสาวะ
คุณอาจตรวจด้วยตนเองก็ได้ โดยซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์สำเร็จรูป ซึ่งมีขายตามร้านขายยาทั่วไป ชุดทดสอบนี้ประกอบด้วยสารละลายเคมี ซึ่งนำมาผสมกับน้ำปัสสาวะ 2-3 หยด แล้วเปรียบเทียบดูสีที่ เปลี่ยนไป เป็นการบอกว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หากทำตามขั้นตอนอย่างถูกวิธี จะให้ผลที่ค่อนข้างน่า เชื่อถือ 90% การทดสอบเริ่มทำได้โดยการนำน้ำปัสสาวะของแรกที่ประจำเดือนไม่มาเป็นต้นไป ซึ่งอยู่ในระยะ 2 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิมาทดสอบ ผลการทดสอบที่บอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์มัก ถูกต้องแม่นยำ ส่วนผลที่บอกว่าคุณไม่ตั้งครรภ์มักเชื่อถือได้น้อยกว่า ฉะนั้นคุณควรรออีก 1 สัปดาห์แล้วจึงทำการทดสอบอีกครั้ง หรือไปพบแพทย์เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์
2 การตรวจภายใน
ถ้าประจำเดือนขาดเกิน 1-2 เดือนแล้ว แพทย์อาจใช้การตรวจภายในเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ โดยช่องคลอดและปากมดลูกจะมีสีม่วงคล้ำ เพราะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมาก และมดลูกโตจน คลำได้ชัดเจน การตรวจภายในยังช่วยสำรวจความผิดปกติว่ามีก้อนเนื้องอกที่มดลูกหรือรังไข่ได้อีกด้วย
เขียนโดย มนต์ชยา
1 การขาดประจำเดือน
ถ้าคุณเป็นคนที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ อาการปกติที่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์คือ ประจำเดือนไม่มาภายหลังปฏิสนธิได้ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีประจำเดือนมา ไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นสาเหตุอื่นก็ได้ที่ทำให้ประจำเดือนคุณขาดหายไป เช่นมีความ เครียดจากการทำงาน, มีความวิตกกังวลมาก หรือไม่สบาย ก็ไม่แน่ว่าคุณจะตั้งครรภ์ ในบางรายที่ตั้งครรภ์แล้ว อาจมีเลือดออกเล็กน้อยทางช่องคลอดในช่วงเวลาที่ครบรอบเดือน
2 เจ็บ ตึง คัดเต้านม
ขนาดของเต้านมจะเริ่มขยายขึ้น หัวนมเจ็บและไวต่อสิ่งสัมผัส มีเส้นเลือดดำสีเขียวๆ ปรากฏขึ้นที่บริเวณผิวหนังรอบเต้านม หัวนมมีสีคล้ำขึ้นและตั้งชู
3 ปัสสาวะบ่อยขึ้น
ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์มีผลทำให้เลือดมาคั่งในเชิงกรานมาก เพื่อไปหล่อเลี้ยง ตัวอ่อนมากขึ้น ระบบปัสสาวะที่ต่อเนื่องถึงกันจึงได้รับผลกระทบไปด้วย กระเพาะปัสสาวะ จึงระคายเคืองและบีบตัวบ่อยขึ้น ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย รวมทั้งต้องลุกมาเข้าห้องน้ำใน ตอนกลางคืนบ่อยๆ ด้วย
4 ท้องผูกกว่าปกติ
5 มีอาการตกขาวเล็กน้อย
มีมูกขาวๆ ออกมาจากช่องคลอด โดยไม่มีอาการแสบ หรือคันบริเวณช่องคลอดแต่อย่างใด
6 รู้สึกเหนื่อยง่าย อยากหลับตลอดเวลา
นอกจากตอนเย็นหลังเลิกงานแล้วยังเหนื่อยล้าในตอนกลางวันอีกด้วย อาการเช่นนี้ดีสำหรับคุณแม่ เพราะเท่ากับช่วยลดกิจกรรมต่างๆ ลงทั้งที่บ้านและที่ทำงาน จะได้พบปะเจอะเจอผู้คนน้อยลง หรือไม่ค่อยอยากเดินทางไปไหนมาไหน ช่วยให้คุณแม่ได้รับเชื้อโรคและสารพิษจาก สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษน้อยลง
7 รู้สึกขมๆ เฝื่อนๆ มีรสชาติแปลกๆ ในปาก
8 รู้สึกเหม็น ทนไม่ได้กับบางสิ่งบางอย่าง
เช่น ควันบุหรี่, เหล้า, กาแฟ, อาหารที่มีไขมัน, กลิ่นเนื้อสด, ฯลฯ ผลของการตั้งครรภ์ทำให้จมูกคุณแม่ไว และตอบสนองต่อกลิ่นต่างๆ มากขึ้น บางคนได้กลิ่นอาหารที่เคยชอบก็อยากอาเจียน, บางคนแพ้ กลิ่นน้ำหอมที่ตัวเองเคยใช้เป็นประจำ, บางคนไปจ่ายตลาดเดินผ่านร้านขายเนื้อวัวสด, เนื้อหมู ไม่ได้เลย แค่เห็นก็ทนไม่ไหวแล้ว, บางคนแค่เปิดตู้เย็นเจอกลิ่นอาหารในตู้เย็นก็รู้สึกแย่ บางรายก็แพ้กระทั่งกลิ่นของสามีตัวเอง!
9 มีอาการแพ้ท้อง
เป็นอาการที่พบบ่อยมากจนเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่มีอาการคลื่นไส้ อยาก อาเจียนหลังตื่นนอนในตอนเช้า บางรายอาจเป็นในช่วงเย็นๆ บางรายมีอาการต่อเนื่องกัน ตลอดทั้งวัน (แย่หน่อย) โดยเฉพาะตอนที่ท้องว่าง บางทีหิวแต่กินไม่ได้มาก ทำให้เกิด อาการวิงเวียนจะเป็นลม เนื่องจากมีน้ำตาลในเลือดต่ำ
10 กินอาหารไม่อร่อย หรืออยากกินของแปลกๆ
ฮอร์โมนที่เพิ่มระดับขึ้นในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ ทำให้การรับรู้รสชาติของคุณแม่เปลี่ยน แปลงไป ทำให้รู้สึกกินไม่อร่อย ทั้งที่เป็นของที่เคยชอบมาก่อน บางทีอยากกินของแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงอยากกิน
11 มีอารมณ์อ่อนไหวหรือแปรปรวนง่าย
ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง บางครั้งได้ยิน ได้ฟังเรื่องเศร้าๆ ก็ร้องไห้ น้ำตาซึม หรือปล่อยโฮ ดูหนังเศร้าก็ร้องไห้เสียใจ โดยที่เมื่อก่อนไม่ใช่คนแบบนี้ ผู้หญิงบางรายอาจไม่มีอาการดังกล่าวนี้เลย แต่ก็ "ทราบ" ว่าตนเองตั้งครรภ์ ก็เป็นได้เช่นกัน
ตรวจการตั้งครรภ์
เมื่อสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ คุณควรตรวจด้วยตนเองหรือไปรับการตรวจจากแพทย์เพื่อยืนยัน ว่ากำลังตั้งครรภ์ให้ชัดเจน ซึ่งมีวิธีดังนี้
1 โดยการตรวจปัสสาวะ
คุณอาจตรวจด้วยตนเองก็ได้ โดยซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์สำเร็จรูป ซึ่งมีขายตามร้านขายยาทั่วไป ชุดทดสอบนี้ประกอบด้วยสารละลายเคมี ซึ่งนำมาผสมกับน้ำปัสสาวะ 2-3 หยด แล้วเปรียบเทียบดูสีที่ เปลี่ยนไป เป็นการบอกว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หากทำตามขั้นตอนอย่างถูกวิธี จะให้ผลที่ค่อนข้างน่า เชื่อถือ 90% การทดสอบเริ่มทำได้โดยการนำน้ำปัสสาวะของแรกที่ประจำเดือนไม่มาเป็นต้นไป ซึ่งอยู่ในระยะ 2 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิมาทดสอบ ผลการทดสอบที่บอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์มัก ถูกต้องแม่นยำ ส่วนผลที่บอกว่าคุณไม่ตั้งครรภ์มักเชื่อถือได้น้อยกว่า ฉะนั้นคุณควรรออีก 1 สัปดาห์แล้วจึงทำการทดสอบอีกครั้ง หรือไปพบแพทย์เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์
2 การตรวจภายใน
ถ้าประจำเดือนขาดเกิน 1-2 เดือนแล้ว แพทย์อาจใช้การตรวจภายในเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ โดยช่องคลอดและปากมดลูกจะมีสีม่วงคล้ำ เพราะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมาก และมดลูกโตจน คลำได้ชัดเจน การตรวจภายในยังช่วยสำรวจความผิดปกติว่ามีก้อนเนื้องอกที่มดลูกหรือรังไข่ได้อีกด้วย
เตือน! ใช้ "ยาคุมฉุกเฉิน" เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก
นักวิจัยเภสัช มช.เผยผลวิจัย เรื่องความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด พบวัยรุ่นใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินกันอย่างแพร่หลาย มีการใช้บ่อยครั้งและมีการใช้อย่างไม่ถูกต้อง เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก อาจส่งผลให้ตกเลือดและแท้งเป็นอันตรายได้ แนะสถานศึกษาสร้างความรู้เพศศึกษาและการใช้ยาคุมกำเนิดที่ถูกต้อง เตือนวัยรุ่นละเลิกความเสี่ยงจากพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีความพร้อม รวมทั้งเรียกร้องร้านขายยาเป็นจุดบริการให้ความรู้ก่อนตัดสินใจใช้ยา
ภญ.รศ.ชบาไพร โพธิ์สุยะ นักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาคุมฉุกเฉินมีน้อยมาก ในขณะที่พฤติกรรมความเสี่ยงของวัยรุ่นในการมีเพศสัมพันธ์ หรือภัยทางเพศเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้เด็กวัยรุ่นหันมาใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน โดยขาดความเข้าใจ ทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก และความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่น่าเป็นห่วงคือ มีการใช้แทนยาคุมกำเนิดตามปกติ ทั้งๆ ที่ประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินน้อยกว่า และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ได้
“การคุมกำเนิดด้วยยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์เฉพาะฉุกเฉินเช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้การป้องกันวิธีอื่นมาก่อน ใช้ถุงยางอนามัยแล้วแต่ไม่แน่ใจว่ารั่วหรือแตก ลืมกินยาแบบประจำวันติดต่อกันสองวัน ใส่ห่วงอนามัยแต่ห่วงหลุด มีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ไม่ปลอดภัย กรณีถูกข่มขืน ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรองว่าการกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินเป็นวิธีที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ระดับหนึ่ง แต่ในทุกปีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ยังคงเกิดขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทั้งด้านระบบสุขภาพและสังคม"
"สำหรับในประเทศไทย มีแนวโน้มการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกในการซื้อ การพกพา วิธีการกินไม่ยุ่งยากเหมือนยาคุมทั่วไป แต่ยาเม็ดคุมกำเนิดมีประโยชน์เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้นไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้”
ทั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการศึกษากลุ่มร้านยาในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเพิ่มขึ้น และมีการใช้อย่างไม่เหมาะสมในกลุ่มวัยรุ่น และปัญหาการทำแท้งส่วนใหญ่เกิดจากวัยรุ่นและหนุ่มสาว ที่มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน หรือไม่มีความพร้อมในการมีบุตร
กลไกการออกฤทธิ์ของเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ชนิด levonorgertrel หรือชนิดฮอร์โมนระหว่าง estrogen และ progestogen จะออกฤทธิ์ต่อสภาพแวดล้อมของเยื่อบุโพรงมดลูก มีผลต่อภาวะฮอร์โมน และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะที่เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ อีกทั้งประสิทธิภาพไม่เทียบเท่ายาคุมปกติและยิ่งเสี่ยงหากใช้บ่อยครั้ง
จากผลการศึกษากลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษา ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือมหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2551 จำนวน 12 สถาบัน ในช่วงเดือนธันวาคม 2551 -มกราคม 2552 เป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษาในช่วงอายุ 13 - 25 ปี จำนวน 418 คน พบว่ากลุ่มนักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีการคุมกำเนิดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 80 และใช้ยาคุมฉุกเฉินร้อยละ 29.7 โดยมีร้านขายยาเป็นสถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างได้รับยาและข้อมูล
จากการทดสอบความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน พบว่า ร้อยละ 87.1 มีความรู้ในระดับน้อย ในส่วนทัศนคตินั้น พบว่า โดยภาพรวม กลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติเชิงบวกต่อการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ซึ่งอาจทำให้มีการใช้แทนยาคุมกำเนิดที่เป็นยาหลัก นับเป็นเรื่องที่ควรปรับความรู้และทัศนคติ เมื่อได้รวบรวมข้อมูลในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน ก็พบว่ามีการใช้ไม่ถูกต้อง คือ มีการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดผิดกลุ่มเป้าหมาย ผิดวัตถุประสงค์ ผิดขนาดและผิดวิธี ส่งผลถึงปัญหาเกี่ยวโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และก่อปัญหาการทำแท้งตามมา
ทีมวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการศึกษาดังกล่าวทำให้ทราบว่า กลุ่มวัยรุ่นที่มีความเสี่ยง คือกลุ่มที่ค่อนข้างอิสระ หรือกลุ่มที่มีแนวโน้ม sexually active พบว่า การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมักไม่มีความพร้อม จึงอาจทำให้ต้องใช้ยาเม็ดคุมกำเนินฉุกเฉิน ซึ่งมีความเสี่ยงเนื่องจากวัยรุ่นยังขาดความเข้าใจที่ถูกวิธี
“ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพสูงก็ต่อเมื่อ มีการนำมาใช้ตามข้อบ่งใช้ที่กำหนดไว้ และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น สำหรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นบ่อยคือ การมีรอบระดูผิดปกติ คลื่นไส้อาเจียน แต่หากใช้บ่อยและต่อเนื่อง มีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ ไม่เพียงแต่การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดไม่ถูกต้องเท่านั้น หากผลการศึกษายังพบว่า แม้จะมีการใช้ถุงยางอนามัยถึงร้อยละ 75.1 แต่ยังพบว่าวิธีการคุมกำเนิดที่รองลงมา คือ การหลั่งภายนอก ซึ่งมีเปอร์เซ็นสูงถึงร้อยละ 35.5 นับเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงทั้งการตั้งครรภ์และการติดโรค”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ
ภญ.รศ.ชบาไพร โพธิ์สุยะ นักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาคุมฉุกเฉินมีน้อยมาก ในขณะที่พฤติกรรมความเสี่ยงของวัยรุ่นในการมีเพศสัมพันธ์ หรือภัยทางเพศเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้เด็กวัยรุ่นหันมาใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน โดยขาดความเข้าใจ ทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก และความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่น่าเป็นห่วงคือ มีการใช้แทนยาคุมกำเนิดตามปกติ ทั้งๆ ที่ประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินน้อยกว่า และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ได้
“การคุมกำเนิดด้วยยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์เฉพาะฉุกเฉินเช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้การป้องกันวิธีอื่นมาก่อน ใช้ถุงยางอนามัยแล้วแต่ไม่แน่ใจว่ารั่วหรือแตก ลืมกินยาแบบประจำวันติดต่อกันสองวัน ใส่ห่วงอนามัยแต่ห่วงหลุด มีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ไม่ปลอดภัย กรณีถูกข่มขืน ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรองว่าการกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินเป็นวิธีที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ระดับหนึ่ง แต่ในทุกปีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ยังคงเกิดขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทั้งด้านระบบสุขภาพและสังคม"
"สำหรับในประเทศไทย มีแนวโน้มการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกในการซื้อ การพกพา วิธีการกินไม่ยุ่งยากเหมือนยาคุมทั่วไป แต่ยาเม็ดคุมกำเนิดมีประโยชน์เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้นไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้”
ทั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการศึกษากลุ่มร้านยาในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเพิ่มขึ้น และมีการใช้อย่างไม่เหมาะสมในกลุ่มวัยรุ่น และปัญหาการทำแท้งส่วนใหญ่เกิดจากวัยรุ่นและหนุ่มสาว ที่มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน หรือไม่มีความพร้อมในการมีบุตร
กลไกการออกฤทธิ์ของเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ชนิด levonorgertrel หรือชนิดฮอร์โมนระหว่าง estrogen และ progestogen จะออกฤทธิ์ต่อสภาพแวดล้อมของเยื่อบุโพรงมดลูก มีผลต่อภาวะฮอร์โมน และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะที่เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ อีกทั้งประสิทธิภาพไม่เทียบเท่ายาคุมปกติและยิ่งเสี่ยงหากใช้บ่อยครั้ง
จากผลการศึกษากลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษา ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือมหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2551 จำนวน 12 สถาบัน ในช่วงเดือนธันวาคม 2551 -มกราคม 2552 เป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษาในช่วงอายุ 13 - 25 ปี จำนวน 418 คน พบว่ากลุ่มนักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีการคุมกำเนิดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 80 และใช้ยาคุมฉุกเฉินร้อยละ 29.7 โดยมีร้านขายยาเป็นสถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างได้รับยาและข้อมูล
จากการทดสอบความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน พบว่า ร้อยละ 87.1 มีความรู้ในระดับน้อย ในส่วนทัศนคตินั้น พบว่า โดยภาพรวม กลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติเชิงบวกต่อการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ซึ่งอาจทำให้มีการใช้แทนยาคุมกำเนิดที่เป็นยาหลัก นับเป็นเรื่องที่ควรปรับความรู้และทัศนคติ เมื่อได้รวบรวมข้อมูลในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน ก็พบว่ามีการใช้ไม่ถูกต้อง คือ มีการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดผิดกลุ่มเป้าหมาย ผิดวัตถุประสงค์ ผิดขนาดและผิดวิธี ส่งผลถึงปัญหาเกี่ยวโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และก่อปัญหาการทำแท้งตามมา
ทีมวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการศึกษาดังกล่าวทำให้ทราบว่า กลุ่มวัยรุ่นที่มีความเสี่ยง คือกลุ่มที่ค่อนข้างอิสระ หรือกลุ่มที่มีแนวโน้ม sexually active พบว่า การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมักไม่มีความพร้อม จึงอาจทำให้ต้องใช้ยาเม็ดคุมกำเนินฉุกเฉิน ซึ่งมีความเสี่ยงเนื่องจากวัยรุ่นยังขาดความเข้าใจที่ถูกวิธี
“ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพสูงก็ต่อเมื่อ มีการนำมาใช้ตามข้อบ่งใช้ที่กำหนดไว้ และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น สำหรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นบ่อยคือ การมีรอบระดูผิดปกติ คลื่นไส้อาเจียน แต่หากใช้บ่อยและต่อเนื่อง มีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ ไม่เพียงแต่การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดไม่ถูกต้องเท่านั้น หากผลการศึกษายังพบว่า แม้จะมีการใช้ถุงยางอนามัยถึงร้อยละ 75.1 แต่ยังพบว่าวิธีการคุมกำเนิดที่รองลงมา คือ การหลั่งภายนอก ซึ่งมีเปอร์เซ็นสูงถึงร้อยละ 35.5 นับเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงทั้งการตั้งครรภ์และการติดโรค”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ
ไข้คาวาซากิ
โรคคาวาซากิ (Kawasaki disease)
พบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2504 โดย นายแพทย์ Tomisaku Kawasaki ที่ประเทศญี่ปุ่น และตั้งชื่อว่า Mucocutaneous Lymph Node Syndrome (MCLS) และต่อมาก็พบโรคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรคคาวาซากิ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบครั้งแรก
ระบาดวิทยา
•พบมากแถบเอเชีย โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับในประเทศไทยก็พบมากขึ้นเรื่อยๆ
•พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง (ประมาณ 2:1)
•อายุโดยมากน้อยกว่า 4 ปี โดยเฉพาะในช่วงอายุ 1-2 ปี พบบ่อยที่สุด
•โรคนี้มีโอกาสเกิดในครอบครัวเดียวกัน (พี่น้อง) ได้ โดยเมื่อคนหนึ่งเป็นอีกคนจะมีโอกาสเป็นมากกว่าเด็กทั่วๆ ไป
•เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้อาจเกิดเป็นซ้ำได้ พบได้ประมาณร้อยละ 3-5
สาเหตุ
โรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ จึงคาดว่าโรคนี้น่าจะเกี่ยวกับการติดเชื้อบางชนิดทั้งแบคทีเรียและไวรัส, การใช้แชมพูซักพรม, การอยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานผิดปกติ (Immunologic disease)
อาการและอาการแสดงของโรค
• ไข้: ผู้ป่วยจะมีไข้สูง และสูงเป็นพักๆ นาน 1-2 สัปดาห์ บางรายนานถึง 3-4 สัปดาห์
• ตาแดง: ตาขาวจะแดงโดยไม่มีขี้ตา เกิดหลังมีไข้ประมาณ 1-2 วันและเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 สัปดาห์
• มีการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปาก: จะมีริมฝีปากแดง, แห้ง และผิวหนังที่ริมฝีปากจะแตกลอกต่อมา ลิ้นจะแดงคล้ายลูกสตอร์เบอรี่ (strawbery tongue)
• มีการเปลี่ยนแปลงที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า: โดยจะบวมแดง ไม่เจ็บ หลังจากนั้นจะมีการลอกของผิวหนังบริเวณปลายของเล็บมือและเท้า(ประมาณ 10-20 วัน หลังมีไข้) และลามไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า บางรายเล็บอาจหลุดได้ หลังจากนั้น 1-2 เดือน จะมีรอยขวางที่เล็บ (transverse groove; Beau's line) ซึ่งจะช่วยในการวิเคราะห์โรคมาก
• ผื่นตามตัวและแขนขา: มักเกิดหลังจากมีไข้ได้ 2-3 วัน โดยผื่นมีได้หลายแบบ ไม่คัน
• ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอโต: พบประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย ไม่เจ็บ อาจพบข้างเดียวหรือสองข้างของลำคอก็ได้ โดยมีขนาดเกินกว่า 1.5 เซนติเมตร
• อาการแสดงอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วย: ได้แก่ ปวดตามข้อ, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ, ท้องเสีย, ปอดบวม เป็นต้น
ปัญหาสำคัญของโรคคาวาซากิ คือ เกิดโรคแทรกซ้อนหรือลุกลามไปที่หัวใจและหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ (coronary artery) ได้ โดยพบประมาณร้อยละ 20-30 อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานไม่ดี และหัวใจวายได้ ส่วนเส้นเลือดที่โป่งพองก็อาจเกิดการอุดตันจากลิ่มเลือด ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน ถ้าเป็นมากก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
การวินิจฉัยโรค
เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ และปัจจุบันยังไม่มีการตรวจ ตลอดจนผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการใช้เป็นเครื่องชี้เฉพาะของโรคนี้ได้ ต้องอาศัยกลุ่มอาการของโรคและการวินิจฉัยแยกโรคเป็นการให้การวิเคราะห์โรค โดยอาศัยหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัย ดังนี้
1.ไข้สูง และสูงนานเกิน 5 วัน ติดต่อกัน
2.มีอาการและอาการแสดงดังต่อไปนี้
◦มีการบวมแดงของฝ่ามือ ฝ่าเท้า
◦มีผื่นตามตัว
◦ตาแดง 2 ข้าง โดยไม่มีขี้ตา
◦ริมฝีปากแห้งแดง, อุ้งปากและลิ้นแดง
◦ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
การรักษา
โรคนี้หายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่ถ้าให้ยาแอสไพริน จะทำให้ไข้ลดเร็วมากขึ้นและเพื่อลดการอักเสบของเส้นเลือด และป้องกันเกล็ดเลือดรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ( Aspirin ขนาดสูง ในช่วงแรก แบ่งให้ทางปาก เมื่อไข้ลงจะลดยาลง ) เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ จึงยังไม่มียาเฉพาะใช้รักษาโรค แต่การรักษาด้วยอิมมูโนโกลบุลินชนิดฉีด (intravenous immunoglobulin, IVIG) สามารถลดความรุนแรงและอุบัติการณ์โรคแทรกซ้อนที่หัวใจและหลอดเลือดลงได้ เหลือเพียงร้อยละ 5-7 เท่านั้น
การรักษาแบ่งเป็น 2 ระยะ
1.การรักษาในช่วงเฉียบพลัน ให้การรักษาโดยให้ IVIG ขนาด 2 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก. ร่วมกับรับประทานยาแอสไพริน (Aspirin) ขนาด 80-120 มก./กก./วัน
2.การรักษาในช่วงไม่เฉียบพลันและต่อเนื่อง ให้ Aspirin ขนาด 3-5 มก./น้ำหนักตัว 1 กก./วัน รับประทานหลังไข้ลดลงนานประมาณ 2 เดือน
เอกสารอ้างอิง
นพ.วัชระ จามจุรีรักษ์ มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ http://www.doctordek.com/index.php?option=com_content&task=view&id=12&Itemid=11
นพ. สมเกียรติ โสภณธรรมรักษ์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์http://medinfo.psu.ac.th/pediatrics/kd.htm
อ้างอิงภาพ http://a3.att.hudong.com/56/54/01300000046969120593546005980_s.jpg
บัณฑิตา นฤมาณเดชะ update สิงหาคม 31, 2552 at 10:09 am.
บล็อกของ Bantita
กรุณา ล็อกอิน หรือ สมัครสมาชิก ก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่งไปหาเพื่อน / แจ้งเว็บมาสเตอร์
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) แผนงานวิจัยและพัฒนาระบบสื่อสารสุขภาพสู่ประชาชน (รสส.) สถาบัน
พบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2504 โดย นายแพทย์ Tomisaku Kawasaki ที่ประเทศญี่ปุ่น และตั้งชื่อว่า Mucocutaneous Lymph Node Syndrome (MCLS) และต่อมาก็พบโรคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรคคาวาซากิ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบครั้งแรก
ระบาดวิทยา
•พบมากแถบเอเชีย โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับในประเทศไทยก็พบมากขึ้นเรื่อยๆ
•พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง (ประมาณ 2:1)
•อายุโดยมากน้อยกว่า 4 ปี โดยเฉพาะในช่วงอายุ 1-2 ปี พบบ่อยที่สุด
•โรคนี้มีโอกาสเกิดในครอบครัวเดียวกัน (พี่น้อง) ได้ โดยเมื่อคนหนึ่งเป็นอีกคนจะมีโอกาสเป็นมากกว่าเด็กทั่วๆ ไป
•เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้อาจเกิดเป็นซ้ำได้ พบได้ประมาณร้อยละ 3-5
สาเหตุ
โรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ จึงคาดว่าโรคนี้น่าจะเกี่ยวกับการติดเชื้อบางชนิดทั้งแบคทีเรียและไวรัส, การใช้แชมพูซักพรม, การอยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานผิดปกติ (Immunologic disease)
อาการและอาการแสดงของโรค
• ไข้: ผู้ป่วยจะมีไข้สูง และสูงเป็นพักๆ นาน 1-2 สัปดาห์ บางรายนานถึง 3-4 สัปดาห์
• ตาแดง: ตาขาวจะแดงโดยไม่มีขี้ตา เกิดหลังมีไข้ประมาณ 1-2 วันและเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 สัปดาห์
• มีการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปาก: จะมีริมฝีปากแดง, แห้ง และผิวหนังที่ริมฝีปากจะแตกลอกต่อมา ลิ้นจะแดงคล้ายลูกสตอร์เบอรี่ (strawbery tongue)
• มีการเปลี่ยนแปลงที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า: โดยจะบวมแดง ไม่เจ็บ หลังจากนั้นจะมีการลอกของผิวหนังบริเวณปลายของเล็บมือและเท้า(ประมาณ 10-20 วัน หลังมีไข้) และลามไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า บางรายเล็บอาจหลุดได้ หลังจากนั้น 1-2 เดือน จะมีรอยขวางที่เล็บ (transverse groove; Beau's line) ซึ่งจะช่วยในการวิเคราะห์โรคมาก
• ผื่นตามตัวและแขนขา: มักเกิดหลังจากมีไข้ได้ 2-3 วัน โดยผื่นมีได้หลายแบบ ไม่คัน
• ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอโต: พบประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย ไม่เจ็บ อาจพบข้างเดียวหรือสองข้างของลำคอก็ได้ โดยมีขนาดเกินกว่า 1.5 เซนติเมตร
• อาการแสดงอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วย: ได้แก่ ปวดตามข้อ, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ, ท้องเสีย, ปอดบวม เป็นต้น
ปัญหาสำคัญของโรคคาวาซากิ คือ เกิดโรคแทรกซ้อนหรือลุกลามไปที่หัวใจและหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ (coronary artery) ได้ โดยพบประมาณร้อยละ 20-30 อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานไม่ดี และหัวใจวายได้ ส่วนเส้นเลือดที่โป่งพองก็อาจเกิดการอุดตันจากลิ่มเลือด ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน ถ้าเป็นมากก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
การวินิจฉัยโรค
เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ และปัจจุบันยังไม่มีการตรวจ ตลอดจนผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการใช้เป็นเครื่องชี้เฉพาะของโรคนี้ได้ ต้องอาศัยกลุ่มอาการของโรคและการวินิจฉัยแยกโรคเป็นการให้การวิเคราะห์โรค โดยอาศัยหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัย ดังนี้
1.ไข้สูง และสูงนานเกิน 5 วัน ติดต่อกัน
2.มีอาการและอาการแสดงดังต่อไปนี้
◦มีการบวมแดงของฝ่ามือ ฝ่าเท้า
◦มีผื่นตามตัว
◦ตาแดง 2 ข้าง โดยไม่มีขี้ตา
◦ริมฝีปากแห้งแดง, อุ้งปากและลิ้นแดง
◦ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
การรักษา
โรคนี้หายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่ถ้าให้ยาแอสไพริน จะทำให้ไข้ลดเร็วมากขึ้นและเพื่อลดการอักเสบของเส้นเลือด และป้องกันเกล็ดเลือดรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ( Aspirin ขนาดสูง ในช่วงแรก แบ่งให้ทางปาก เมื่อไข้ลงจะลดยาลง ) เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ จึงยังไม่มียาเฉพาะใช้รักษาโรค แต่การรักษาด้วยอิมมูโนโกลบุลินชนิดฉีด (intravenous immunoglobulin, IVIG) สามารถลดความรุนแรงและอุบัติการณ์โรคแทรกซ้อนที่หัวใจและหลอดเลือดลงได้ เหลือเพียงร้อยละ 5-7 เท่านั้น
การรักษาแบ่งเป็น 2 ระยะ
1.การรักษาในช่วงเฉียบพลัน ให้การรักษาโดยให้ IVIG ขนาด 2 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก. ร่วมกับรับประทานยาแอสไพริน (Aspirin) ขนาด 80-120 มก./กก./วัน
2.การรักษาในช่วงไม่เฉียบพลันและต่อเนื่อง ให้ Aspirin ขนาด 3-5 มก./น้ำหนักตัว 1 กก./วัน รับประทานหลังไข้ลดลงนานประมาณ 2 เดือน
เอกสารอ้างอิง
นพ.วัชระ จามจุรีรักษ์ มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ http://www.doctordek.com/index.php?option=com_content&task=view&id=12&Itemid=11
นพ. สมเกียรติ โสภณธรรมรักษ์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์http://medinfo.psu.ac.th/pediatrics/kd.htm
อ้างอิงภาพ http://a3.att.hudong.com/56/54/01300000046969120593546005980_s.jpg
บัณฑิตา นฤมาณเดชะ update สิงหาคม 31, 2552 at 10:09 am.
บล็อกของ Bantita
กรุณา ล็อกอิน หรือ สมัครสมาชิก ก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่งไปหาเพื่อน / แจ้งเว็บมาสเตอร์
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) แผนงานวิจัยและพัฒนาระบบสื่อสารสุขภาพสู่ประชาชน (รสส.) สถาบัน
Subscribe to:
Posts (Atom)